เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เรามาทำบุญเนาะ ไอ้เมื่อกี้นี้มันขยะ.. ทิ้งมันไป เอาธรรมะดีกว่าเนาะ

“ธรรมะ” มันเป็นที่พึ่งอาศัย ธรรมะเป็นที่พึ่งอาศัยของใจ ใจเป็นที่พึ่งอาศัยนะ เวลามันมีคำข้าว มันมีคำข้าว เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะ เวลาพระบวช ปัจจัย ๔ ไตรจีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม, บาตรนี้เป็นอาหาร, ยาดองน้ำมูตรเน่า, แล้วก็กลดนี้เป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย ปัจจัย ๔ คนเราต้องมีปัจจัย ๔ การดำรงชีวิตในโลกนี้ต้องมีปัจจัย ๔

เวลาพระบวชบริขาร ๘ คือปัจจัย ๔ บาตรนี้คืออาหารนะ “เธอจงเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง.. บิณฑบาตไปชาวพุทธเขาจะใส่บาตรเธอ ถ้าเธอเป็นคนดีนะ” พระพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้านี่วางไว้หมดแล้ว ปัจจัยเครื่องอาศัยพระเรามีพร้อมแล้ว ถ้าพระเรามีจุดยืนนะแล้วซื่อตรงกับศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. พราหมณ์นิมนต์ไว้แล้วลืมใส่บาตร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังขาดตกบกพร่อง การขาดตกบกพร่องนี้เพราะคนเรามีเวรมีกรรมมา เวลากรรมมันให้ผลมันมีของมันนะ แต่ถ้าเรามีธรรมของเรานะ กรรมคือกรรม มีธรรมคือหัวใจมันมีจุดยืนนะ มันเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นน่ะ มันเห็นเป็นว่า.. ใช่ เราทำเรามาเอง แล้วพอประสบแล้วจะเสียใจได้อย่างไร พอเสียใจเราก็ดูแลเราไป เพราะว่าอดมื้อกินมื้อมันไม่ตายหรอก

แต่ถ้าหัวใจเราอ่อนแอนะ เราจะตีอกชกตัว โอย.. เรานี่ทำดีแล้วไม่ได้ดี.. เวลาพูดถึงทำดีแล้วไม่ได้ดีนะ เราก็ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เราก็ทำอยู่ในธรรมวินัย แต่โอ้โฮ.. แรงเสียดสีนี่เยอะมาก แต่การเยอะอย่างนี้เราเข้าใจ เข้าใจเพราะอะไร เข้าใจว่ากระแสสังคมเป็นอย่างนั้น แล้วเราไปยืนต้านกระแสสังคมน่ะ ถ้าเราหลบเราลู่ไปนะ สบายมากเลย เราลู่ไปตามสังคมนะ โอ้โฮ.. อยู่เย็นเป็นสุขนะ แต่เราไม่ลู่ เรายืนขวาง แรงลมมันก็ธรรมดา ถ้าเรายืนขวางแล้วมันเกินแรงเสียดสี แล้วจะไปน้อยใจอะไร ก็ยืนขวางลม ก็ลมมันพัด มันจะเป็นอะไรไป..

ถ้าเป็นอย่างนั้นปั๊บ.. มีธรรมในหัวใจ ถ้ามีธรรมในหัวใจ สิ่งใดที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องธรรมดานะ เวลามีความสุข ทำไมเราพอใจล่ะ เรามีความทุกข์ นี่ศรัทธาความเชื่อ เรานะดูถูกเหยียดหยามกันนะ เราดูตาสีตาสาว่าพวกนี้พวกมีแต่ความเชื่อ มีศรัทธาไม่มีปัญญา

ไอ้เราคุยนะ “โอ้โฮ.. ปัญญาเยอะมาก โอ้ย.. ปัญญาเยอะ ปัญญาชน เป็นปัญญาเยอะมาก..” ปัญญาอย่างเราก็คือศรัทธาน่ะ เพราะปัญญาศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความเชื่อของเราไง ความเชื่อของเรานะมันปิดบังหูตาเราหมดเลย เพราะเรามีความเชื่อ แล้วเรานี่ “โอ้ย.. ปัญญาเยอะๆ โอ้ย.. ปัญญา..” ปัญญาอะไรล่ะ? ก็ปัญญาในศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ปัญญาเกิดหรือยัง? ยังเลย ไม่มีปัญญาหรอก ไม่มี! ปัญญายังไม่มีหรอก!

ปัญญามันจะเกิดขึ้นมานะ ต่อเมื่อเราทำความสงบของใจ พอใจสงบขึ้นมาเราจะยืนขวางสังคมขนาดไหน เรายืนทวนกระแสขนาดไหน ยืนทวนกระแสนั่นน่ะ มันมีเหตุมีผลของมัน นี่ไง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันรู้เลยนะว่าอะไรผิดอะไรถูก นี่ไง เราจะถลำไปตามความผิดพลาดอีกไหม เพราะชีวิตเราถลำมามันเยอะมากแล้ว

ดูสิ ทางโลก ถ้าเราไม่ได้บวชนะ เราอยู่ในครอบครัว เพราะครอบครัวจะมีความพอใจมากเลยว่าเราอยู่ในตระกูล เรานี่ช่วยกันสร้างตระกูลให้มั่นคง นี่ก็เป็นความเชื่อของโลกเขา เวลาเราบวช ตูม! โอ้โฮ.. ครอบครัวนะ ในสังคม “โอ้โฮ.. ไม่สู้สังคม คนไม่จริงไม่จัง คนไม่กล้าสู้สังคม.. หนีเอาตัวรอด” นี่ไง เขาบอกว่าเราเป็นคนไม่ดีในสังคมแล้ว แต่บวชเป็นพระขึ้นมา พอบวชขึ้นมาเราประพฤติปฏิบัติ เอ้า.. เราดีของพระ นี่ความดีที่ดีขึ้นไป

แต่โลกมองไม่เห็นนะ เห็นว่าเอาตัวรอดคนเดียว

ถ้าไม่มีการเอาตัวรอดนะ ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชนะ ศาสนานี้จะมีไหม? เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช มันกระเทือนหัวใจพระเจ้าสุทโธทนะขนาดไหน มันสะเทือนถึงหัวใจนางพิมพาขนาดไหน สามเณรราหุลยังแบเบาะไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่ครอบครัวมันสะเทือนขนาดไหน เพราะอะไร เพราะมันขาดผู้นำ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นกษัตริย์ ปรารถนามาให้เป็นกษัตริย์ เป็นจักรพรรดิเลย แล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัว เอาตัวรอดออกไป

พระเจ้าสุทโธทนะเสียใจมากเลย เสียใจมากก็หวังสามเณรราหุล พอสามเณรราหุลขึ้นมาจะให้เป็นกษัตริย์แทน นี่พระพุทธเจ้ามาเอาราหุลไปอีก นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะเทือนใจขนาดไหน แต่สุดท้ายถ้าเป็นจักรพรรดิ จะเป็นกษัตริย์ขนาดไหนนะ มันก็เป็นอยู่ในวัฏฏะ มันเวียนตายเวียนเกิด มันเป็นอนิจจัง เป็นของชั่วคราว

“ความเคลื่อน” ดูชีวิตเรามันยังมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์.. ตายหมดนะ คนเรานี่นะ เวลากล้ามเนื้อมันคลายตัวนะ ไม่เหลือเลย มันตายหมดเลย แล้วความดีนี้มันตกที่ไหน ความดีมันก็ดีในวัฏฏะใช่ไหม แต่ถ้าเราตัดช่องน้อยแต่พอตัว พอตัวแล้วเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าเอาตัวรอดให้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมมา

สามเณรราหุล นางพิมพาให้ขอสมบัติ ถ้าให้ก็ได้ เพราะว่าได้อยู่แล้ว เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ต่อไปเป็นกษัตริย์ พระพุทธเจ้าต้องให้อยู่แล้ว มาขอสิทธิไง พระพุทธเจ้าคิดเลยนะ จะให้สมบัติทางโลก เป็นจักรพรรดิ หรือจะให้สมบัติทางธรรม สมบัติใดจะควรแก่สามเณรราหุลนะ

“เอ้า.. สารีบุตร เธอบวชให้เถิด” ไปให้พระสารีบุตรบวชให้เลย

พระเจ้าสุทโธทนะสะเทือนหัวใจมาก

นี่นะ บอกเลยนะ สังคมดีนะ เราอยู่ในสังคม เราเป็นผู้นำที่ดี เราอยู่ในสังคมที่ดีมันก็ดี แต่ดีของใคร? แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินะ เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นทุกวันเลย หลวงปู่มั่นไม่มีเวลาว่างเลย เทวดา อินทร์ พรหม เราเคารพบูชา แล้วเทวดา อินทร์ พรหม มาจากไหน ทุกคนตื่นเต้นมากเลย ทำดีก็เกิดเป็นเทวดาหมด นั่งอยู่นี่ ใครเป็นพระเจ้า? ก็กูนี่ไง! หัวใจกูนี่เป็นพระเจ้า เกิดเป็นพระอินทร์นี่ก็พระเจ้า พระเจ้าเกิดจากเรานี่ล่ะ เกิดจากใจ “ใจทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” พระเจ้าคือใคร? พระเจ้าคือเรา เราไปฟังใคร?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธ..

“อาสวักขยญาณ” ชำระตัวเองให้ได้ ถ้าชำระตัวเองให้ได้ อันนี้สำคัญที่สุด

อันนี้เรามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อของเรานี่เป็นความเชื่อนะ แต่ความเชื่ออันนี้นะ ความเชื่อมันบังตา มันบังตา.. “ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้” ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ ในพระไตรปิฎก ความเชื่อนี่เป็นอริยทรัพย์ ถ้ามนุษย์ไม่มีความเชื่อ ไม่มีศรัทธาเป็นตัวนำนะ เราจะไม่มีฟังธรรมกันเลย เราจะอยู่บ้านของเรา โอ้โฮ.. แก้วแหวนเงินทองทำมาหากินได้หมด ทำไมเราต้องเสียสละ ทำไมเราต้องไปทำบุญ?

พระไม่ทำอะไรเลยน่ะ วันๆ หนึ่งมีแต่คอยรับของเขา รับของเขามาทำไม ทำไมต้องรับ ของในคลังน่ะ จนล้นคลังจนไม่มีที่เก็บแล้ว รับไว้ทำไม? นี่สิ่งที่เขาทำบุญของเขา นี่มันเนื้อนาบุญของโลก เป็นเนื้อนาบุญเขาหว่านพืชหว่านผลของเขา เขาหว่านข้าวกล้าลงไปในเนื้อนานั้น ถ้าเขาหว่านเนื้อนานั้น นานั้นจะทำอะไร นานั้นได้ประโยชน์อะไร ถ้านานั้นเป็นประโยชน์นะ ข้าวกล้านั้นมันไปเจือจานกับชีวิตของสัตว์โลกนะ

เวลาเราเห็น เราเห็นแต่สิ่งที่เป็นวัตถุไง เราไม่เห็นน้ำใจของเขา น้ำใจของเขา เขาหามาเพื่ออะไร แล้วน้ำใจของเขา เขาคิดอะไร เขาได้ประโยชน์อะไร ถ้าเขามีวุฒิภาวะขนาดนี้ เขาได้ทำบุญกุศลของเขาขนาดนี้ มันก็เป็นความดีความชอบของเขา เขาทำได้ขนาดนี้ก็เป็นเรื่องของเขา ทำขนาดนี้ ถ้าจิตใจเขาฟังธรรม เขาก็กระเทือนหัวใจของเขา

ทำทานร้อยหนพันหน ไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ..มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่าถึงความสงบของใจหนหนึ่ง ..มีความสงบของใจร้อยหนพันหน ถ้าไม่เกิดปัญญา มันจะเกิดมาอะไร

มีความสงบของใจ มีสมาธิขึ้นมาร้อยหนพันหน ถ้าไม่เกิดปัญญาขึ้นมา สมาธิมันทำอะไรได้? แต่ถ้ามันไม่มีสมาธิขึ้นมา ปัญญาก็นี่ไง.. ศรัทธาไง “ฉันศรัทธา ฉันเก่งกว่า ฉันดีกว่า คนนั้นเลวกว่า คนนั้นต่ำกว่า ฉันสุดยอดกว่าไง..” นี่ไง ศรัทธามันเหยียบย่ำเขา! ศรัทธามันมาปิดตาตัวเองน่ะ ศรัทธาปิดตาตัวเองไว้นะ แล้วว่าตัวเองมีปัญญานะ แล้วก็เหยียบย่ำเขาทั่วไปหมด แล้วเหยียบย่ำไปแล้วมันได้อะไร ก็ได้แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง

กุศลทำให้เกิดอกุศล เป็นกุศลนะ ศึกษาธรรมะเป็นกุศลหมดน่ะ พอมันเกิดทิฏฐิมานะก็เป็นอกุศลแล้ว “ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันจะเหยียบหัวเขาไปน่ะ..” ทิฏฐิมานะเป็นธรรมดาของมัน ธรรมชาติของกิเลสเป็นอย่างนั้นน่ะ ธรรมชาติของกิเลสมันอยู่กับหัวใจทุกๆ ดวงใจ ไม่ต้องไปดูที่ใครเลย ดูใจของตัวเองเท่านั้นน่ะ ดูใจเราเท่านั้นน่ะ ถ้ามันคว่ำ มันลงไว้ได้ ถ้าไม่เกิดสมาธิอยู่ นี่ทิฏฐิมานะอันนี้ลงไม่ได้ สิ่งที่เกิดสมาธิไม่ได้เพราะเกิดอัตตา เพราะเกิดตัวตนของเรา ตัวตนนี่ล่ะมันขวางไว้ เห็นไหม

บอกว่า จะเข้านิพพานๆ.. ใครจะเข้า?

เรือนว่างๆ พระอนาคามีนี่เรือนว่าง.. เรือนว่าง มึงไปขวางเรือนอยู่ทำไม? ถ้ามึงขวางอยู่ มันไม่ว่างหรอก

นี่ก็เหมือนกัน มาบอกถ้ามันมีตัวตนอยู่น่ะ สมาธิลงไม่ได้หรอก เวลาประพฤติปฏิบัติเขาให้โง่ที่สุดเลย

หลวงตาสอนประจำนะ “เวลาปฏิบัติ ถ้าศึกษามามากขนาดไหนนะ เหมือนโง่ที่สุดเลย มีเราอยู่คนเดียว มีเราอยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไร โลกนี้ไม่มี ทุกอย่างสรรพสิ่งนี้ไม่มี จักรวาลไม่มี เวรกรรมอะไรไม่มีหมด”

ถ้ามี จิตมันออกไปเกาะ ออกไปเอา มันจะไปยึดมั่นถือมั่น.. รู้ไปหมดอีกแล้ว รู้อีกแล้ว.. รู้ก็โง่ไง! เพราะมันโง่มันถึงรู้ไง! มันไม่ฉลาด ถ้ามันฉลาดขึ้นมา มันไม่รู้อะไรเลย.. แต่มันรู้ มันไม่รู้อะไรเลยนะโลกนี้ เพราะเรื่องของเขานะ จิตใจของเขา สัตว์โลกมันเป็นไปตามกรรม มันเรื่องของโลกเขา แล้วมึงได้อะไร? มึงรู้แต่เรื่องของคนอื่นนะ รู้แต่เรื่องโลกนะ รู้เรื่องธรรมะนะ.. แต่ตัวมึงมันโง่น่ะ! เพราะมึงไม่เห็นตัวมึง

ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นเรานะ เพราะจิตสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาๆ นี่ไงเรื่องของเรา

เรื่องของคนอื่นวางไว้ เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นคนอื่นไหม? คนเรานะ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราก็ได้แค่ดูแลในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าเราเปิดตาพ่อแม่นะ พ่อแม่จะไป นี่ใจของพ่อแม่ ถ้าเราเปิดตาพ่อแม่ พ่อแม่ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม จะคิดถึงใคร?

ในสมัยพุทธกาลมีเยอะมาก พระพุทธเจ้าไปทรมานน่ะ ไปโปรดสัตว์ เวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมน่ะ “เราได้มาจากใครๆ สมบัติอย่างนี้เราได้มาจากใคร?”

นี่ก็เหมือนกัน สมบัติในโลกนี้ ถ้าเราส่งเสริมตรงนี้ได้ แต่การกระทำก็ต้องใจดวงนั้น นี่เหมือนกัน ของเราก็มันใจของเรา ถ้าใจของเราเรารักษาใจของเรา สิ่งที่เราพยายามขวนขวายช่วยเหลือเจือจานเขาอยู่ ถ้าเขารู้เห็นประโยชน์ เขาใช้ประโยชน์ของเขาเอง ถ้าเขาไม่เห็นประโยชน์กับเรา เราไปเจือจานเขามากขนาดไหน เขาหาว่าเราจะไปฉ้อฉลเขานะ

คนเรา ดูพระพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการสิ เวลาเราเปิดใจขึ้นมาน่ะ โอ้โฮ.. เหมือนหงายของคว่ำอยู่แล้วมันหงายขึ้นมาน่ะ

แต่เวลาถ้ายังไม่หงายนะ ดูพระสารีบุตร แม่พระสารีบุตรเวลาลูกจะมาสึก.. โอ้โฮ.. เดินมาตอนเช้า “โอย.. ลูกเราบวชมาจนแก่ สงสัยจะมาสึกแล้ว คงจะทนไม่ไหวแล้ว บวชตั้งแต่หนุ่มจนแก่.. จะมาสึก..” ยังคิดอย่างนั้นนะ

แต่พระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้าจะมานิพพาน.. “แล้วนิพพานที่ไหน?”

“ก็จะนิพพานที่ห้องที่คลอดนั่นน่ะ ที่ตัวเองเกิดน่ะ”

เพราะอะไร เพราะว่ามันสลดสังเวชไง ในตระกูล ๗ องค์เป็นพระอรหันต์หมดเลย แม่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ “แล้วใครจะแก้แม่เรา” ก็หวังว่าพระพุทธเจ้าจะไปแก้แม่ได้ พอเวลาเข้าอนาคตังสญาณของตัวเอง.. “ไม่ใช่ เราต้องไปแก้เอง” นี่ก็กะจะไปทรมานแม่ พอเดินไป.. “โอ้.. ลูกเราบวชมาตั้งแต่หนุ่มๆ จนแก่ จะมาสึกแล้ว” ก็ไม่อยากจะพูด ก็เข้าไปอยู่ในห้อง พอหัวค่ำ เพราะเป็นโรคท้องร่วง ถ่ายเป็นเลือด พอถ่ายเป็นเลือดขึ้นมา ตอนหัวค่ำเทวดามาเป็นลำแสงพุ่งเข้ามาเลย ก็ถือเป็นพราหมณ์

พอเข้าไปถามลูก “นั่นใครมา”

“เทวดามา”

“เอ๊อะ.. ลูกเรามันก็แปลกๆ เนาะ.. โอ้.. เทวดายังมาอุปัฏฐาก”

พอตกกลางคืนพรหมมา แสงมันสว่างกว่า เพราะพวกพราหมณ์เขาถือพรหมมาก พอพรหมมาน่ะ เข้าไปนะ “ใครมาน่ะลูก”

“พรหมมา พรหมมาอุปัฏฐาก”

“หา?”

นี่ไง มันดูถูกเหยียดหยามไง ก็ลูกเราน่ะบวชตั้งแต่หนุ่มจนแก่จะมาสึกน่ะ หัวใจมันปิด ของคว่ำไง ภาชนะที่คว่ำอยู่ ไม่ยอมรับอะไรเลย ลูกมีความดีขนาดไหนก็มองไม่เห็น ใครจะดีขนาดไหนก็ไม่รู้จักทั้งนั้นน่ะ รู้แต่ตัวเองสุดยอดคนอยู่คนเดียวไง

พอสุดท้ายมันสลดใจไง เพราะว่าขนาดตัวเองอ้อนวอนพรหมอยู่ทุกวัน เพราะพราหมณ์เขาเคารพบูชา แต่เสร็จแล้วพรหมยังแค่มาอุปัฏฐากพระสารีบุตร พระสารีบุตร พอเห็นใจมันเริ่ม.. จะรื้อสัตว์ขนสัตว์มันต้องดูที่ใจ ถ้าใจมันเปิด

นี่เหมือนกัน จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ลัดสั้น ใครๆ ก็เป็นนิพพานได้หมด.. (แหม.. อยู่ในไมค์นะ ฮึ..) ลัดสั้นๆ มันจะไปได้หมด..

นี่ไง พอถึงว่าพอใจควรแก่การงานนะ พอใจควรแก่การงานนะ

“แม่! พระอินทร์ พรหมนี่เป็นเด็กถือบาตรพระพุทธเจ้าเท่านั้นน่ะ เวลาพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต พวกนี้มันเด็กล้างบาตรน่ะ มันเป็นแค่เด็กล้างบาตร มันเป็นคนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า”

โอ้.. พอใจลงนะ เทศน์คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. แม่เป็นโสดาบันตูมเลย! พอเป็นพระโสดาบันเพราะใจมันอ่อน.. ต้องใจอ่อน ควรแก่การงาน

พระพุทธเจ้าเทศน์อนุปุพพิกถาก่อน ไม่เคยสอนบอกอริยสัจหรอก ยิ่งบอกอริยสัจนะ.. มันบอกสัตว์อยู่ในคอก อริยสัจ.. มันบอกว่าสัตว์อยู่ในฟาร์ม ทิฏฐิมานะของใจมันแข็งมาก.. เป็นไปไม่ได้!

ต้องเทศนาว่าการให้จิตมันอ่อน ควรแก่การงาน พอควรแก่การงานค่อยเทศน์อริยสัจ พอเทศน์อริยสัจ จิตใจของแม่ของพระสารีบุตรพออ่อนควรแก่การงาน พอเทศน์ๆๆ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระโสดาบันเลย โอ้โฮ.. ร้องไห้ใหญ่เลย “โอย.. ลูกไม่รักแม่ๆ ถ้าลูกรักแม่ ลูกต้องบอกแม่มานานแล้ว”

เมื่อเย็นมันยังบอกจะมาสึกอยู่นะ เวลาพอมันหงายขึ้นมา มันไปคนละเรื่องเลย

เห็นไหม ใจของคน ความเป็นไปของตัว มันไม่เป็นอย่างที่เราคิดกันหรอก มันอยู่ที่วุฒิภาวะที่เราสร้างสมมา ถ้าสร้างสมขึ้นมา ใจมันแสวงหาของมัน มันควรแก่การงาน เหมือนดินที่ดี เขาจะเอามาปั้นโอ่งปั้นไห เขาต้องนวดดินให้ดี ถ้าไม่ดีนะพอปั้นขึ้นมามันจะรั่ว มันจะล่วง มันจะไม่เป็นโอ่งเป็นไหขึ้นมา จิตใจของเรา ถ้ายังแข็งกระด้าง ยังไม่ลงครูบาอาจารย์ ยังไม่ฟังสิ่งใดนะ.. ทำไปเถอะ ก็ทำอยู่เหมือนกัน ถึงบอกถ้าจิตมันไม่สงบ เหมือนกัน “ศีล สมาธิ ปัญญา”

ไม่เกิดสมาธิน่ะ หัวใจอย่างนั้นน่ะ แล้วเอาก้อนกรวด มันก็ปั้นโอ่งกันเลยนะ ไปใส่น้ำสิ โอ้โฮ.. ไหลออกหมดเลย.. เป็นไปไม่ได้หรอก! มันต้องปั้นดิน แล้วดินนี่นะต้องนวดให้มันเข้าที่ พอเข้าที่ปั้นเป็นโอ่งเป็นไหขึ้นมาน่ะ ไปเผามาแล้ว มันเป็นโอ่งที่ดี มันจะใส่น้ำได้ที่ดี จิตใจของคนที่ควรแก่การงานน่ะ มันจะมีควรแก่การงาน ถ้าควรแก่การงาน นี่พูดถึงศาสนาไง

เราคุยกันอยู่นี่นะ เราอยู่กับโลกๆ ปัจจัยเครื่องอาศัย อยู่ในสังคม โลกธรรม ๘ แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมะชี้เข้ามาที่ใจของพวกเรา แล้วใจของเรา เราอยู่กับโลกนะ อยู่กับหมู่คณะ สิ่งใดกระทบกระเทือนเราก็รับฟังแล้ววางไว้ เอาตัวให้รอด.. เอาตัวให้รอดได้ก่อน พอเอาตัวรอดได้แล้วนะ เราจะเป็นที่พึ่งอาศัยของเขาได้

มันอ่านเกมออกหมดน่ะ มันรู้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันพูดไปแล้วเขาไม่เชื่อ! เขาหาว่าเป็นคนบ้า! เขาหาว่าบ้า! เขาไม่เชื่อ!

แต่มันต้องอาศัยกาลเวลา เวลาทำให้มันมั่นคงขึ้นมา แล้วเมื่อมันเป็นประโยชน์แล้ว มันจะเป็นประโยชน์ นี่วันนี้วันพระนะ วันพระผู้ประเสริฐ เราต้องประเสริฐในหัวใจของเรา เอวัง